สัตว์ศัตรูข้าว และการป้องกันกำจัด

นกศัตรูข้าว

นกศัตรูข้าวที่สำคัญมี 10 ชนิด ได้แก่ นกกระติ๊ดขี้หมู  นกกระติ๊ดตะโพกขาว  นกกระจอกบ้าน  นกกระจอกตาล  นกกระจอกใหญ่  นกกระจาบธรรมดา  นกกระจาบทอง  นกเขาชวา  นกเขาใหญ่ และนกพิราบป่า

ลักษณะการทำลาย  

          นกจะเริ่มทำลายข้าวตั้งแต่ระยะข้าวเริ่มเป็นน้ำนมใหม่ๆ จนไปถึงระยะก่อนเก็บเกี่ยว ถ้าข้าวอยู่ในระยะน้ำนมและมีส่วนเป็นไตแข็งเพียงเล็กน้อย นกจะจิกที่รวงแล้วขบเมล็ดข้าวกินเฉพาะเนื้อแข็งและน้ำนม รวงข้าวจะยังมีเมล็ดติดอยู่กับรวง แต่มีรอยแตกเห็นชัดเจน รวงข้าวที่ถูกนกกิน รวงจะตั้งขึ้น (ภาพที่ 1) ถ้าข้าวเลยระยะน้ำนมจนแข็งหมดทั้งเมล็ดแล้ว นกจะใช้ปากรูดเมล็ดออกจากรวง แล้วคาบเมล็ดมาขบกินแต่เนื้อภายใน ส่วนเปลือกปล่อยทิ้งไว้ใต้ต้นข้าวนั้นเอง

ภาพที่ 1 รวงข้าวที่ถูกนกกิน รวงจะตั้งขึ้น

การป้องกันกำจัดนกศัตรูข้าว

1. การใช้คนไล่

2. การใช้เสียง  จะทำให้นกตกใจและหนีไป เช่น ใช้ประทัด

3. ใช้การมองเห็น เช่น การใช้สิ่งที่เคลื่อนไหวเมื่อลมพัด หรือสิ่งของที่สามารถสะท้อนแสงได้หรือการใช้หุ่นไล่กา การใช้หุ่นที่เคลื่อนไหวได้จะให้ผลดีกว่าหุ่นที่หยุดนิ่ง และถ้าเคลื่อนไหวพร้อมเสียงด้วยจะได้ผลดีที่สุด

4. การกันไม่ให้นกเข้า เช่น ใช้ตาข่าย

5. การจัดการแปลงนาให้ไม่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของนก  โดยทำการกำจัดหญ้า และวัชพืช รอบคันนา

 

** ซึ่งวิธีการต่างๆ นั้น ใช้ได้ผลในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น เมื่อใช้ไปนานๆ นกจะเกิดความเคยชิน และไม่กลัวสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากนกเป็นสัตว์ที่ฉลาด สามารถเรียนรู้และจดจำได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การใช้วิธีการป้องกันกำจัดนกศัตรูข้าวหลายวิธีมาบูรณาการรวมกัน จึงมีแนวโน้มจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงอย่างเดียว

 

กลุ่มนกกระติ๊ด

          นกกระติ๊ดชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงใหญ่ๆ และลงกินข้าวพร้อมๆ กัน ตามปกติข้าว 1 กอ จะมีนกมาเกาะและจิกกินเมล็ดข้าวประมาณ 5-7 ตัว และใช้เวลาในการกินข้าว แต่ละครั้งนาน 5-15 นาที (ถ้าไม่มีสิ่งใดมารบกวน) ในขณะที่จิกกินนั้นก็จะสังเกตไปรอบๆ ตัวเองเป็นการระวังภัย พร้อมทั้งส่งเสียงร้องไปด้วย หลังจากกินอิ่มนกจะใช้เวลาย่อยอาหารประมาณ 100 นาที นกจะกินอาหารประมาณ 5 กรัมต่อตัวต่อวัน และมักจะกินรวงข้าวที่เดิมเป็นประจำจนเกือบหมดแล้วจึงขยับไปยังรวงข้างเคียง (ทักษิณ, 2533)


นกกระติ๊ดขี้หมู

ชื่อวิทยาศาสตร์  : Lonchura punctulata

วงศ์ :   Estrildidae           

อันดับ : Passeriformes

ชื่ออื่นๆ  -

          นกกระติ๊ดขี้หมู (Scaly-breasted Munia) ขนาดประมาณ 12-12.5 เซนติเมตร ปาก หัว อก และลำตัวด้านบนน้ำตาลเข้ม ลำตัวด้านล่างขาวแกมเทามีลายเกล็ดสีน้ำตาล กลางท้องและก้นขาว หางน้ำตาลแกมเหลือง
นกวัยอ่อน : ลำตัวสีน้ำตาลอ่อนกว่า ไม่มีลายเกล็ดที่อก ปากล่างสีจางกว่าปากบน

 ถิ่นอาศัย

          ทุ่งนา ทุ่งหญ้า ป่าละเมา และพื้นที่เปิดโล่งใกล้ชุมชนเมือง ที่ราบความสูง 1,500 เมตร เป็นนกประจำถิ่น พบบ่อยมาก

ภาพที่ 1 นกกระติ๊ดขี้หมู (Scaly-breasted Munia; Lonchura punctulata)

 

ที่มาข้อมูล : จารุจินต์ นภีตะภัฏ กานต์ เลขะกุล และวัชระ สงวนสมบัติ. 2550. คู่มือดูนก หมอบุญส่ง เลขะกุล

                นกเมืองไทย, คณะบุคคล นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล. กรุงเทพฯ. 439 หน้า.

                ทักษิณ อาชวาคม. 2533. นกศัตรูข้าวและการป้องกันกำจัด. นสพ.กสิกร 63 (2) : 157-160.


นกกระติ๊ดตะโพกขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์  : Lonchura striata

วงศ์ :   Estrildidae           

อันดับ : Passeriformes

ชื่ออื่นๆ  -

ภาพที่ 1 นกกระติ๊ดตะโพก (White-rumped Munia)

 

          นกกระติ๊ดตะโพก (White-rumped Munia) ขนาดประมาณ 11-11.5 เซนติเมตร ปากสีเทา ตะโพกและท้องขาว ตัดกับหัว อก และลำตัวด้านบนสีน้ำตาลเข้ม หน้าและปีกน้ำตาลดำ มีลายขีดสีจางที่หลังและอก ปลายขนหางเป็นติ่งแหลมกว่านกกระติ๊ดชนิดอื่น

ถิ่นอาศัย

          ทุ่งหญ้า พื้นที่เกษตรกรรม ป่าละเมา ชายป่า ที่ราบความสูง 1,500 เมตร เป็นนกประจำถิ่น พบบ่อย

ที่มาข้อมูล : จารุจินต์ นภีตะภัฏ กานต์ เลขะกุล และวัชระ สงวนสมบัติ. 2550. คู่มือดูนก หมอบุญส่ง เลขะกุล

                นกเมืองไทย, คณะบุคคล นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล. กรุงเทพฯ. 439 หน้า.


นกกระจอกบ้าน

ชื่อวิทยาศาสตร์  : Passer montanus

วงศ์ :   Passeridae           

อันดับ :  Passeriformes

ชื่ออื่นๆ  : -

ภาพที่ 1 นกกระจอกบ้าน (Eurasian Tree Sparrow)

 

          นกกระจอกบ้าน (Eurasian Tree Sparrow) ขนาดประมาณ 14-14.5 เซนติเมตร ปากดำ หัวน้ำตาลแดงเข้ม แก้มขาวมีแต้มดำ คอดำ ลำตัวด้านบนน้ำตาลแดงมีลายดำ ปีกน้ำตาลแดงมีแถบแคบๆ สีขาวพาด ลำตัวด้านล่างน้ำตาลแกมเทา เสียงร้อง “ชิบ ชิบ” หรือ “ชิชิบ ชิชิบ”

ถิ่นอาศัย

          พื้นที่เกษตรกรรม ชุมชนเมือง ที่ราบความสูง 1,830 เมตร เป็นนกประจำถิ่น พบบ่อย

ที่มาข้อมูล : จารุจินต์ นภีตะภัฏ กานต์ เลขะกุล และวัชระ สงวนสมบัติ. 2550. คู่มือดูนก หมอบุญส่ง เลขะกุล

                นกเมืองไทย, คณะบุคคล นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล. กรุงเทพฯ. 439 หน้า.


นกกระจอกตาล

ชื่อวิทยาศาสตร์  : Passer flaveolus

วงศ์ :   Passeridae           

อันดับ :  Passeriformes

ชื่ออื่นๆ  : -

ภาพที่ 1 นกกระจอกตาล (Plain-backed Sparrow)

 

          นกกระจอกตาล (Plain-backed Sparrow) ขนาดประมาณ 13.5-15 เซนติเมตร ตัวผู้ : หลังสีน้ำตาลแดงไม่มีลาย หลังตาถึงข้างหัวน้ำตาล กระหม่อมและหลังตอนบนเทา คอดำ แก้มและลำตัวด้านล่างเหลืองอ่อน
ตัวเมีย : คล้ายนกกระจอกใหญ่ตัวเมีย แต่หลังไม่มีลาย ลำตัวด้านล่างเหลืองอ่อนแกมน้ำตาล เสียงร้อง ใส “ชิ-รัป” หรือ “ชิ-ริบ”

ถิ่นอาศัย

          พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่เปิดโล่ง ชายป่า เป็นนกประจำถิ่น พบบ่อย

ที่มาข้อมูล : จารุจินต์ นภีตะภัฏ กานต์ เลขะกุล และวัชระ สงวนสมบัติ. 2550. คู่มือดูนก หมอบุญส่ง เลขะกุล นกเมืองไทย, คณะบุคคล นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล. กรุงเทพฯ. 439 หน้า.


นกกระจอกใหญ่

ชื่อวิทยาศาสตร์  : Passer domesticus

วงศ์ :   Passeridae           

อันดับ :  Passeriformes

ชื่ออื่นๆ : -

ภาพที่ 1 นกกระจอกใหญ่ (House Sparrow)

นกกระจอกใหญ่ (House Sparrow) ขนาดประมาณ 15-15.5 เซนติเมตร ตัวผู้ : หน้าผากและกระหม่อมเทา หลังตาถึงท้ายทอยน้ำตาลแดงมีลายขีดดำและเทา ตะโพกเทาแก้มน้ำตาล ลำตัวด้านล่างเทาแกมขาว        
ตัวเมีย : ปากสีเนื้อ หัวและลำตัวน้ำตาลแกมเทา มีคิ้วสีจางกว่า ปีกและหลังน้ำตาลแกมเหลืองอ่อน คล้ายตัวเมียของนกกระจอกตาล แต่หลังมีลายขีดน้ำตาลจางๆ เสียงร้อง “ชีรับ ชีรับ ชีรับ” หรือ “ชรีป” “ชิ-ริบ”

ถิ่นอาศัย

          ชุมชนเมือง พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่เปิดโล่ง เป็นนกประจำถิ่น พบบ่อยมาก และกำลังขยายถิ่นแพร่กระจายไปเรื่อยๆ

ที่มาข้อมูล : จารุจินต์ นภีตะภัฏ กานต์ เลขะกุล และวัชระ สงวนสมบัติ. 2550. คู่มือดูนก หมอบุญส่ง เลขะกุล

                นกเมืองไทย, คณะบุคคล นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล. กรุงเทพฯ. 439 หน้า.


นกกระจาบธรรมดา

ชื่อวิทยาศาสตร์  : Ploceus philippinus

วงศ์ :   Ploceidae          

อันดับ : Passeriformes

ชื่ออื่นๆ  -

ภาพที่ 1 นกกระจาบธรรมดา (Baya Weaver)

          นกกระจาบธรรมดา (Baya Weaver) ขนาดประมาณ 14.5-15 เซนติเมตร ปากดำค่อนข้างยาว หน้าผากถึงท้ายทอยเหลืองสด หน้าสีคล้ำ หลังปีก และลำตัวด้านบนน้ำตาลดำมีลายจากขอบขนสีน้ำตาลอ่อน ลำตัวด้านล่างน้ำตาลอ่อนแกมเหลือง ตัวผู้นอกฤดูผสมพันธุ์และตัวเมีย : ปากสีเนื้อ ลำตัวสีน้ำตาลอ่อนแกมเหลือง ข้างแก้มเรียบไม่มีลาย หัวมีลายสีคล้ำ ลำตัวด้านบนน้ำตาลเข้มมีลายจากขอบขนสีจาง

ถิ่นอาศัย

          ทุ่งนา ทุ่งหญ้า พื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ราบถึงความสูง 1,220 เมตร ทำรังทรงกลม มีทางเข้าทางเป็นท่อยาว ห้อยอยู่บนต้นไม้สูง เป็นนกประจำถิ่น พบบ่อย

ที่มาข้อมูล : จารุจินต์ นภีตะภัฏ กานต์ เลขะกุล และวัชระ สงวนสมบัติ. 2550. คู่มือดูนก หมอบุญส่ง เลขะกุล

                นกเมืองไทย, คณะบุคคล นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล. กรุงเทพฯ. 439 หน้า.


นกกระจาบทอง

ชื่อวิทยาศาสตร์  : Ploceus hypoxanthus

วงศ์ :   Ploceidae           

อันดับ :  Passeriformes

ชื่ออื่นๆ  -

ภาพที่ 1 นกกระจาบทอง (Asian Golden Weaver)

 

          นกกระจาบทอง (Asian Golden Weaver) ขนาดประมาณ 14.5-15 เซนติเมตร ตัวผู้ชุดขนฤดูผสมพันธุ์ : หัว ตะโพก และลำตัวด้านล่างเหลืองสด ตัดกับแถบหน้าและคอดำ ลำตัวด้านบนดำแกมน้ำตาลมีลายเหลือง หางดำ ตัวผู้นอกฤดูผสมพันธุ์และตัวเมีย : คล้ายนกกระจาบธรรมดามาก แต่ปากหนาอวบและสั้นกว่า

ถิ่นอาศัย

          ทุ่งนา ทุ่งหญ้า พื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ราบถึงความสูง 1,220 เมตร ทำรังทรงกลมมีทางเข้าทางด้านข้าง อยู่ในระดับต่ำ เป็นนกประจำถิ่น พบไม่บ่อย หรือพบบ่อยบางพื้นที่

ที่มาข้อมูล : จารุจินต์ นภีตะภัฏ กานต์ เลขะกุล และวัชระ สงวนสมบัติ. 2550. คู่มือดูนก หมอบุญส่ง เลขะกุล

                นกเมืองไทย, คณะบุคคล นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล. กรุงเทพฯ. 439 หน้า.


นกเขาชวา

ชื่อวิทยาศาสตร์  : Geopelia striata

วงศ์ :   Columbidae          

อันดับ : Columbiformes

ชื่ออื่นๆ  -

ภาพที่ 1 นกเขาชวา (Zebra Dove)

          นกเขาชวา (Zebra Dove) ขนาดประมาณ 21-21.5 เซนติเมตร ลำตัวสีน้ำตาแกมเทา มีลายขวางสีดำที่คอ หลัง ปีก และด้านข้างลำตัว กลางอกและท้อง สีน้ำตาลแกมเทาหรือชมพู แต้งและตีนแดง ตัวผู้ : หน้าสีเทาแกมฟ้า ข้างคอเทา ตัวเมีย : หน้าสีน้ำตาลมากกว่า มีลายตั้งแต่อกถึงท้อง เสียงร้อง : “อุด-อุอุอุอู้” รัวเป็นจังหวะ ก้องกังวาน

ถิ่นอาศัย

          บ้านเรือนชุมชน สวน พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่เปิดโล่งต่างๆ ที่ราบถึงความสูง 2030 เมตร เป็นนกประจำถิ่น พบบ่อยมาก

ที่มาข้อมูล : จารุจินต์ นภีตะภัฏ กานต์ เลขะกุล และวัชระ สงวนสมบัติ. 2550. คู่มือดูนก หมอบุญส่ง เลขะกุล

                นกเมืองไทย, คณะบุคคล นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล. กรุงเทพฯ. 439 หน้า.


นกเขาใหญ่

ชื่อวิทยาศาสตร์  : Spilopelia chinensis

วงศ์ :   Columbidae          

อันดับ : Columbiformes

ชื่ออื่นๆ  -

ภาพที่ 1 นกเขาใหญ่ (Spotted Dove)

 

          นกเขาใหญ่ (Spotted Dove) ขนาดประมาณ 30-31 เซนติเมตร หัวเทา คอ และลำตัวด้านล่างสีน้ำตาแกมม่วง หลังคอเป็นแถบดำมีจุดขาวกระจาย หลังสีน้ำตาล หางยาว ปลายขาว เสียงร้อง : “วุ่ก-วุค-ครู่ วุ่ก-วุค-ครู่” ก้องกังวาน

ถิ่นอาศัย

          พื้นที่เกษตรกรรม สวน แหล่งชุมน ชายป่าและพื้นที่เปิดโล่งต่างๆ ที่ราบถึงความสูง 2,040 เมตร เป็นนกประจำถิ่น พบบ่อยมาก

ที่มาข้อมูล : จารุจินต์ นภีตะภัฏ กานต์ เลขะกุล และวัชระ สงวนสมบัติ. 2550. คู่มือดูนก หมอบุญส่ง เลขะกุล

                นกเมืองไทย, คณะบุคคล นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล. กรุงเทพฯ. 439 หน้า.


นกพิราบป่า

ชื่อวิทยาศาสตร์  : Columba livia

วงศ์ :   Columbidae          

อันดับ : Columbiformes

ชื่ออื่นๆ  -

ภาพที่ 1 นกพิราบป่า (Rock Pigeon)

 

          นกพิราบป่า (Rock Pigeon) ขนาดประมาณ 33-34 เซนติเมตร หัวสีเทาเข้ม หลังและอกเข้มกว่า ปีกเทาอ่อน แถบปีกดำ ปลายหางดำ ตัวผู้ ใหญ่กว่าตัวเมีย คอเหลือบเขียวมากกว่า ปัจจุบันมีการผสมและคัดเลือกสายพันธุ์จนมีสีขนที่หลากหลายแตกต่างไปจากพันธุ์ดั้งเดิม เช่น สีน้ำตาล ขาว หรือมีลวดลายต่างๆ เสียงร้อง : แหบ
“อุอุครู่”

ถิ่นอาศัย

          บ้านเรือน แหล่งชุมชน พื้นที่เกษตรกรรม หน้าผาหิน เป็นนกประจำถิ่น พบบ่อยมาก

ที่มาข้อมูล : จารุจินต์ นภีตะภัฏ กานต์ เลขะกุล และวัชระ สงวนสมบัติ. 2550. คู่มือดูนก หมอบุญส่ง เลขะกุล

                นกเมืองไทย, คณะบุคคล นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล. กรุงเทพฯ. 439 หน้า.


ปูนา

ลักษณะการทำลาย 

          ปูนา (Ricefield crabs) กัดทำลายข้าวกล้าตั้งแต่อยู่ในแปลงตกกล้าและทันทีหลังจากระยะปักดำ ในนาหว่านจะเกิดความเสียหายหลังจากที่เกษตรกรระบายน้ำเข้าสู่นา ความเสียหายนี้จะค่อยลดลงเมื่อต้นข้าวมีอายุมากขึ้น ปูสามารถกัดทำลายข้าวได้ตลอดวัน ยกเว้นช่วงเวลาที่แดดร้อนจัดมากๆ จะสามารถพบต้นข้าวที่ถูกกัดลอยน้ำเป็นแพใกล้ๆ กับรูปู ระยะออกหากินของปูจะไม่ไกลจากคันนามาก ปกติปูจะทำลายข้าวในนาที่มีน้ำขุ่นหรือโคลนมากกว่าในนาที่มีน้ำใส นอกจากนั้นรูปูตามคันนาทำให้น้ำรั่วควบคุมระดับน้ำไม่สะดวกและอาจทำให้คันนาพังทลาย ปูนาจะขุดรูอาศัยอยู่ตามคันนาคันคูน้ำหรือคลองชลประทานเป็นรูดิ่งลึกประมาณ 1 เมตร เมื่อปูกัดข้าวหมดไปทำให้ที่ดินบริเวณนั้นว่าง ถ้าหากไม่มีการปักดำซ่อมแซม วัชพืชก็จะขึ้นงอกงามเป็นแหล่งขยายพันธุ์ของวัชพืชได้ ทำให้ผลผลิตข้าวลดลง และปริมาณข้าวต่อหน่วยเนื้อที่นาลดน้อยลง

ภาพที่ 1 ปูนา และแปลงนาที่ได้รับความเสียหายจากการทำลายของปูนา

การป้องกันกำจัดปูนา

1. ดักจับ  ขุด ลอบ  ไซ  ตาข่าย  ไห/ปี๊บฝังดิน

2. ระบายน้ำออกจากนาทันทีหลังปักดำ หรือ ระบายน้ำออกเมื่อต้นข้าวตั้งตัวหลังจากนั้นประมาณ 15 - 20 วันจึงปล่อยน้ำเข้ามาใหม่ นาที่จะปฏิบัติเช่นนี้ได้ต้องมีการระบายน้ำเข้าออกได้สะดวก สามารถควบคุมระดับน้ำได้ และมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง

3. ในพื้นที่ที่ไม่สามารถระบายน้ำออกได้เนื่องจากสภาพพื้นที่ไม่อำนวยให้ใช้ต้นกล้าที่แข็งแรงและอายุมากเกินกว่า 30 - 35 วันมาปลูกเพราะปูเข้าทำลายต้นข้าวที่มีอายุน้อยมากกว่าต้นข้าวอายุมาก

 4. ใช้สารเคมีกำจัดปู ได้แก่

- Fenitrothion (Sumithion 50% EC)

- Etofenprox (Trebon 5% EC) 40 มิลลิลิตร/ไร่

- Fenthion (Lebaycid 500 EC) 80 มิลลิลิตร/ไร่ 

- ผสมน้ำ ฉีดน้ำในนาข้าว ทันทีหลังปักดำ หรือวันแรกที่ระบายน้ำเข้านา ในนาหว่าน

- ใช้ขณะมีน้ำสูง 10 เซนติเมตร

 

 ที่มาข้อมูล : ชมพูนุท จรรยาเพศ ทักษิณ อาชวาคม วิยะดา สีหบุตร และ เกษม ทองทวี. 2527. ชีววิทยาปูนาศัตรูข้าว.
รายงานผลการค้นคว้าและวิจัยปี 2527, กองกีฏและ